บล๊อก ทุกสิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับ AR เพื่อกา...

ทุกสิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับ AR เพื่อการตลาดบนนมือถือ

มีผู้คาดการณ์ไว้ว่าตลาด Augmented Reality (AR), Virtual Reality (VR) และ Mixed Reality (MR) ทั่วโลกจะมูลค่าถึงราวๆ 3 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2024 และคาดว่ายอดการดาวน์โหลดแอป AR จะเกิน 5.5 พันล้านครั้งภายในปี 2022 AR สำหรับมือถือเปิดโอกาสมากมายมหาศาลให้เราสามารถปรับการตลาดบนมือถือและปรับปรุงการวัดผลที่สำคัญ เช่น อัตราการรักษาผู้ใช้และการมีส่วนร่วม ได้อย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น การใช้ AR ในการตลาดบนมือถือยังช่วยให้คุณสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่แปลกใหม่และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นได้ ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกกันว่า AR คืออะไร ทำงานอย่างไร และมีประโยชน์อย่างไร

AR คืออะไร

AR ย่อมาจาก Augmented Reality หรือ ความเป็นจริงเสริม เป็นเทคโนโลยีที่วางข้อมูลดิจิทัลทับลงบนโลกแห่งความเป็นจริง ข้อมูลเหล่านี้อาจเป็นเสียง รูปภาพ หรือข้อความก็ได้ หลักการพื้นที่ฐานคือเพื่อซ้อนองค์ประกอบเหล่านี้เพื่อเสริม (augment) ความเป็นจริงโดยมองเห็นได้ผ่านอุปกรณ์ดิจิทัล แม้กระทั่งยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมอย่าง Tim Cook ผู้เป็น CEO ของ Apple ยังรู้สึกตื่นเต้นไปกับ AR โดยระหว่างรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกประจำปี 2020 ของ Apple Cook กล่าวว่า "คุณ ไม่ค่อยเห็นนักหรอก เทคโนโลยีใหม่ที่ทั้งธุรกิจและผู้บริโภคเห็นว่าสำคัญสำหรับตน เพราะงั้นผมเลยคิดว่า AR จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณ"

ตัวอย่างขึ้นชื่อของการใช้ AR ในแอปมือถือคือ Pokemon GO บริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ Niantic สร้างแอปเกมนี้ขึ้นเพื่อให้ผู้เล่นได้สัมผัสประสบการณ์ AR โดยสามารถค้นหาและจับโปเกมอนได้จากการสำรวจสภาพแวดล้อมในชีวิตจริง

YouTube กำหนดให้คุณต้อง ยอมรับคุกกี้เพื่อการตลาดจึงจะ สามารถดูวิดีโอนี้ได้.

เกม AR นี้สร้างปรากฏการณ์ระดับโลกที่สร้างรายได้ถึง 207 ล้านดอลลาร์ในเดือนแรกที่เปิดตัว มากกว่าเกมบนมือถือทุกเกมที่เคยมีมา ในช่วง 3 เดือนแรกหลังจากเปิดตัว Pokemon GO ได้รับความนิยมจนถึงขั้นครองสัดส่วนเวลาเล่นเกมไป 45% จากเวลาทั้งหมดที่มีผู้เล่นเกม 20 อันดับแรกบน Android แต่ AR ไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่ในวงการเกมเท่านั้น แอปโซเชียลมีเดีย เช่น Instagram และ Snapchat แสดงให้เห็นว่าเราสามารถใช้ AR เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้และเพิ่มการมีส่วนร่วมได้ ตัวอย่างเช่น Snapchat เปิดตัว "City Painter" ในปี 2020 ซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้พ่นสีสร้างงานศิลปะบนฝาผนังที่ร้านค้าตามท้องถนนได้ จากการเปิดตัวครั้งนี้ ผู้ใช้ Snapchat ยังได้รู้จักกับ Local Lenses อีกด้วย

YouTube กำหนดให้คุณต้อง ยอมรับคุกกี้เพื่อการตลาดจึงจะ สามารถดูวิดีโอนี้ได้.

AR บนมือถือคืออะไร

แนวคิดของ AR สำหรับมือถือนั้นง่ายๆ นั่นคือ AR ที่คุณสามารถพกติดตัวและใช้งานได้ทุกที่ เท่ากับว่าคุณมีฮาร์ดแวร์สำหรับ AR อยู่ในกระเป๋า ซึ่งก็คือสมาร์ทโฟนธรรมดาๆ นั่นเอง สมาร์ทโฟนบางรุ่นมากพร้อมกับแอป AR ในตัว เช่น AR Zone บนมือถือของ Samsung ซึ่งมีฟีเจอร์อย่าง AR Emoji และ AR Doodle นอกจากนี้ยังมีแอปของบุคคลที่สามเช่น Snapchat ที่มีความสามารถด้าน AR คล้ายคลึงกัน

AR และ VR แตกต่างกันอย่างไร

อย่าลืมเด็ดขาดว่า AR และ VR (Virtual Reality) นั้นไม่เหมือนกัน VR คือการสร้างสภาพแวดล้อมดิจิทัล ในขณะที่ AR คือการเสริมเติมแต่งสภาพแวดล้อมจริงด้วยข้อมูลดิจิทัล มีการคาดการณ์ว่ากลุ่มผู้ใช้ AR จะเติบโตขึ้น เป็น 17% ของประชากรทั้งหมดในปี 2022 โดยมีผู้บริโภค 83.1 ล้านรายในสหรัฐฯ กำลังใช้งาน AR ทุกๆ เดือนอยู่แล้ว AR มีแนวโน้มว่าจะได้รับความนิยมมากกว่า VR เนื่องจากสามารถเข้าถึงได้ผ่านอุปกรณ์ที่เราแทบทุกคนมีอยู่ในกระเป๋า ความสำเร็จอย่างถล่มทลายของ Pokemon Go ในปี 2016 เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้แอป AR บนมือถือได้รับความนิยม

AR สำหรับการตลาดบนมือถือ

ข้อดีอย่างหนึ่งของ AR ในการโฆษณาคือสามารถใช้เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมและสร้างประสบการณ์แปลกใหม่กับผลิตภัณฑ์ของคุณได้ ตัวอย่างเช่น IKEA Place หนึ่งในแอปแรกๆ ที่ใช้เฟรมเวิร์ก AR ของ Apple คือ ARKit.

YouTube กำหนดให้คุณต้อง ยอมรับคุกกี้เพื่อการตลาดจึงจะ สามารถดูวิดีโอนี้ได้.

IKEA Place ใช้ AR เพื่อแสดงให้เห็นภาพว่าผลิตภัณฑ์ IKEA จะดูเป็นอย่างไรในบ้านของคุณ ในปี 2018 IKEA Place กลายเป็นแอปฟรีที่สร้างขึ้นด้วย ARKit ของ Apple ที่ได้รับความนิยมสูงสุดอันดับ 2 โดยอิงจากยอดดาวน์โหลด ตอนนี้ หลายบริษัทได้เดินตามรอย IKEA และสร้างแอปที่ช่วยให้ผู้บริโภคเห็นภาพผลิตภัณฑ์ในสถานที่จริงของตนได้ ตัวอย่างเช่น Color Portfolio ของ Benjamin Moore ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเห็นห้องของตนเมื่อทาสีใดก็ได้

YouTube กำหนดให้คุณต้อง ยอมรับคุกกี้เพื่อการตลาดจึงจะ สามารถดูวิดีโอนี้ได้.

เทคโนโลยี AR จะเป็นประโยชน์ต่อกลยุทธ์ทางการตลาดของคุณหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับตลาดเป้าหมายของคุณ ซึ่งต้องพิจารณาผ่านการวิจัยตลาดและการใช้ข้อมูลของคุณเพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้ให้ดีขึ้น คุณจำเป็นต้องทดสอบสมมติฐานของคุณเพื่อพิสูจน์ว่า AR เป็นส่วนเสริมที่คุ้มค่าสำหรับกลยุทธ์ทางการตลาดโดยรวมของคุณ

การทำงานของ AR

AR เพียงแค่หาเครื่องหมาย (เช่น ใบหน้าของผู้ใช้) และวางองค์ประกอบดิจิทัลที่จะแสดงทับบนสิ่งที่กล้องจับภาพได้ หากคุณสงสัยว่า "แล้วมันทำยังไง" มีเครื่องมือที่จะช่วยคุณสร้างประสบการณ์ AR ดีๆ ไม่ว่าคุณจะใช้ iOS หรือ Android

ARKit

ARKit คือแพลตฟอร์มการพัฒนา AR ของ Apple ที่แสดงเนื้อหาต่อหน้าหรือข้างหลังผู้ใช้โดยใช้ฟีเจอร์ People Occlusion ซึ่งสามารถติดตามใบหน้าได้สูงสุด 3 หน้าพร้อมกัน ทำให้หลายคนสามารถรับประสบการณ์ AR ร่วมกันได้ Apple ยังมีเครื่องมือต่างๆ อีก เช่น Reality Composer และ AR Quick Look เพื่อสร้างประสบการณ์ AR หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ARKit โปรดไปที่เพจที่ Apple สร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับ AR โดยเฉพาะ

ARCore

Google ก็พัฒนา ARCore ซึ่งใช้ API เพื่อให้เซ็นเซอร์บนมือถือของผู้ใช้ตรวจจับสภาพแวดล้อมและโต้ตอบกับข้อมูลได้ ซึ่งรวมถึงการติดตามการเคลื่อนไหว การทำความเข้าใจสิ่งแวดล้อม และการกะปริมาณแสง เพื่อให้ทุกคนสามารถแชร์ประสบการณ์ AR ได้ API บางตัวที่ใช้จะมีให้ใช้งานทั้งใน Android และ iOS หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ARCore โปรดอ่านเอกสารประกอบ ของ Google

เครื่องมืออย่าง ARKit ของ Apple และ ARCore ของ Google ช่วยให้เข้าถึงประสบการณ์ AR ได้มากขึ้น ในขณะที่แอปอย่าง Pokemon GO และ IKEA Place ที่เริ่มต้นอย่างสวยงามกลายเป็นแรงจูงใจให้นักพัฒนาลงทุนในเทคโนโลยีนี้ที่ให้ผู้ใช้ได้ดำดิ่งอยู่ในประสบการณ์เต็มที่ นักการตลาดบนมือถือสามารถใช้เทคโนโลยี AR เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมในแอป โดยเพิ่มองค์ประกอบดิจิทัล เช่น ข้อความและวัตถุที่ผู้ใช้สามารถมีส่วนร่วมด้วยได้ ตัวอย่างเช่น Volvo ได้ก้าวไปอีกขั้นของการ AR โดยเปิดให้ทดลองขับรถในรูปแบบ Mixed-reality

YouTube กำหนดให้คุณต้อง ยอมรับคุกกี้เพื่อการตลาดจึงจะ สามารถดูวิดีโอนี้ได้.

4 ประเภทของ AR

ก่อนที่จะใช้ทรัพยากรไปกับ AR คุณจำเป็นต้องรู้จักประเภทต่างๆ ของ AR ที่นักการตลาดบนมือถือสามารถหยิบมาใช้งานได้ ด้านล่างนี้คือรายละเอียดและความแตกต่างของแต่ละประเภท

  1. AR แบบ Marker-based
    AR ประเภทนี้คือเมื่อใช้กล้องของอุปกรณ์ระบุเครื่องหมาย (Marker) ที่มองเห็นจากภาพ เช่น บาร์โค้ด เพื่อให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับวัตถุในหน้าจอ AR ประเภทนี้จะทำงานได้ ภาพที่ถ่ายโดยกล้องของอุปกรณ์จำเป็นต้องมีจุดที่แตกต่างซึ่งนับว่าเป็นเครื่องหมายได้ ตัวอย่าง AR แบบ Marker-based คือแคตตาล็อกแบบอินเทอร์แอคทีฟของ Hector & Karger

  2. AR แบบ Markerless
    AR แบบ Markerless ใช้แหล่งข้อมูล เช่น Accelerometer ของอุปกรณ์และการติดตามด้วย GPS เราจึงใช้ AR ประเภทนี้เพื่อในการตรวจวัดต่างๆ เช่น ตำแหน่งและความเร็ว ทำให้อุปกรณ์สามารถแสดงวัตถุในลักษณะที่เข้ากับสภาพแวดล้อมของกล้องได้ AR แบบ Markerless มีประโยชน์เป็นพิเศษสำหรับแผนที่ซึ่งมีฟีเจอร์ให้ผู้ใช้ค้นหาธุรกิจในพื้นที่ของตนและแอปมือถืออื่นๆ ที่ช่วยเหลือผู้ใช้โดยการเข้าถึงตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของพวกเขา

  3. AR แบบ Superimposition-based
    AR แบบ Superimposition-based ใช้ระบบรู้จำวัตถุ (Object Recognition) เพื่อแทนที่หรือดัดแปลงลักษณะที่ปรากฏของภาพจริง AR ประเภทนี้จะทำงานได้ดีก็ต้องอาศัยระบบรู้จำวัตถุ การวางโซฟาจำลองในห้องนั่งเล่นด้วย IKEA Place คือตัวอย่างของ AR แบบ Superimposition-based

  4. AR แบบ Projection-based

    AR ประเภทนี้จะฉายแสงลงบนสภาพแวดล้อมจริง โดยมักใช้กันในงานอีเวนต์ใหญ่มากกว่า ดังนั้นจึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับนักการตลาดบนมือถือนัก วิดีโอจาก Microsoft Research นี้แสดงให้เห็นว่าประสบการณ์เทคโนโลยี AR แบบ Projection-based ซึ่งเรียกอีกอย่างว่า AR เชิงพื้นที่นั้นเป็นอย่างไร

YouTube กำหนดให้คุณต้อง ยอมรับคุกกี้เพื่อการตลาดจึงจะ สามารถดูวิดีโอนี้ได้.

6 ประโยชน์ที่นักการตลาดบนมือถือจะได้รับจาก AR

การใช้ AR ในงานการตลาดก็เหมือนกับกลยุทธ์การตลาดอื่นๆ ที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ AR มีข้อได้เปรียบเหนือวิธีการตลาดแบบเดิมๆ อยู่หลายประการด้วยกัน เมื่อใช้ประโยชน์จาก AR ที่อธิบายไว้ด้านล่างนี้ คุณจะล้ำหน้ากว่าคู่แข่งและเขย่าตลาดเป้าหมายของคุณได้

  1. ปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า
    การนำ AR มาใช้ในกลยุทธ์การตลาดบนมือถือเป็นสุดยอดวิธีที่จะทำให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร น่าสนใจและมีส่วนร่วมมาก ยกตัวอย่างเช่น IKEA Place ซึ่งช่วยประหยัดทั้งแรงและเวลาที่ผู้ใช้จะต้องเสียไปในการคำนวณว่าผลิตภัณฑ์ที่ต้องการจะวางภายในบ้านได้พอดีหรือไม่ และช่วยให้ผู้ใช้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าผลิตภัณฑ์จะดูเป็นอย่างไรในบ้านของพวกเขา นักการตลาดบนมือถือควรมองหาวิธีที่ AR สามารถทำให้ UX ง่ายขึ้นได้ IKEA Place ช่วยให้ผู้ใช้วางแผนการซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ลูกค้าจึงมั่นใจที่จะซื้อและเกิดความภักดีต่อแบรนด์มากขึ้น ทั้งยังช่วยลดจำนวนการส่งคืนสินค้าได้ด้วย

  2. เพิ่มการมีส่วนร่วม

    ด้วยการเพิ่ม AR ในกลยุทธ์การตลาดบนมือถือ คุณจะสามารถเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ได้ ลักษณะอินเทอร์แอคทีฟของการตลาดที่ใช้ AR จะดึงดูดให้ผู้ใช้กลับมาใหม่อีกครั้ง นอกจากนี้ คุณยังสามารถปรับปรุงการมีส่วนร่วมโดยใช้การตลาดผ่าน AR เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ได้ทดลองสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ ตัวอย่างที่เหมือนกับ IKEA คือ Wayfair ซึ่งช่วยให้ลูกค้าเห็นภาพผลิตภัณฑ์ในพื้นที่ของตนและแม้กระทั่งปรากฏอยู่ด้านหน้าพวกเขาเพื่อเพิ่มความสมจริง

YouTube กำหนดให้คุณต้อง ยอมรับคุกกี้เพื่อการตลาดจึงจะ สามารถดูวิดีโอนี้ได้.

  1. เพิ่มอัตราการรักษาผู้ใช้ (retention rates)
    ประโยชน์อีกประการหนึ่งของคุณสมบัติอินเทอร์แอคทีฟของการตลาดด้วย AR ก็คือคุณจะรักษาผู้ใช้ไว้ได้นานขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการเพิ่มการรับรู้แบรนด์และเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ Sara Castellanos จาก Wall Street Journal ชี้ว่า AR ให้ "เครื่องมือที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะสำหรับการแสดงข้อมูลเป็นภาพ เนื่องจากเล่นกับส่วนของสมองที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้เชิงพื้นที่ซึ่งช่วยให้มนุษย์สามารถเข้าใจแนวคิดที่ซับซ้อนได้รวดเร็วขึ้นและเอื้อให้รักษาลูกค้าได้มากขึ้น"
  2. ใช้การกำหนดเป้าหมายด้วยตำแหน่งทางภูมิศาสตร์เพื่อเพิ่มยอดขาย
    นักการตลาดบนมือถือใช้การระบุตำแหน่งทางภูมิศาสตร์เป็นเครื่องมืออยู่แล้ว และ AR สามารถช่วยยกระดับเครื่องมือนี้ไปอีกขั้นได้ ตัวอย่างเช่น นักการตลาดบนมือถือที่กำหนดกลุ่มเป้าหมายตามตำแหน่งทางภูมิศาสตร์สำหรับการตลาดด้วย AR สามารถช่วยผู้ใช้ค้นหาร้านค้าไปพร้อมกับทำให้ประสบการณ์นั้นน่าสนใจมากขึ้น
  3. AR เปิดโอกาสในการปรับแต่งให้เหมาะสมกับบุคคล
    หากมีข้อมูลที่เหมาะสม AR จะช่วยให้นักการตลาดบนมือถือสามารถเสนอประสบการณ์เฉพาะตัวแก่ลูกค้าเป้าหมายได้ การปรับแต่งประสบการณ์ให้เป็นแบบเฉพาะตัวส่งผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพของแคมเปญ โดยผู้ซื้อ 59% กล่าวว่าเคยซื้อสินค้าโดยเป็นผลมาจากการปรับแต่งเฉพาะตัว นอกจากนี้ มีเพียง 18% ของแอปบนมือถือที่ได้รับการปรับแต่ง ดังนั้นนี่จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้คุณก้าวล้ำเหนือคู่แข่ง
  4. เพิ่มการรับรู้และความภักดีต่อแบรนด์
    AR เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับการสร้างการรับรู้แบรนด์ (brand awareness) และความภักดีต่อแบรนด์ (brand loyalty)เนื่องจากประสบการณ์ AR นั้นเหมาะที่จะแชร์บนโซเชียลมีเดีย ตัวอย่างเช่น Gucci ซึ่งใช้ AR ในแอปของบริษัทเพื่อ ให้ผู้ใช้ได้ลองรองเท้ารุ่นต่างๆ
    AR ยังสามารถใช้เป็นวิธีการทางการตลาดแบบ B2B ที่มีประโยชน์ได้ด้วย ตัวอย่างเช่น เราสามารถใช้ AR แสดงการสาธิตโครงการ เพื่อให้ธุรกิจเข้าใจข้อเสนอชัดเจนขึ้น จึงเป็นวิธีที่จะช่วยสร้างความโดดเด่นจากคู่แข่งรายอื่นๆ ในการประชุมและงานนิทรรศการ ซึ่งคุณต้องดึงดูดผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาให้หันมามองบูธของคุณ

จากการคาดการณ์ว่ายอดดาวน์โหลดแอป AR จะเกิน 5.5 พันล้านครั้งภายในปี 2022 ทางที่ดีควรทดลองใช้วิธีการทางการตลาดนี้กับกลุ่มเป้าหมายของคุณเสียตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่จะถูกคู่แข่งแซงหน้าไป หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการตลาดบนมือถือ คุณสามารถสมัครรับจดหมายข่าวของเราและติดตามข่าวสารล่าสุดผ่านบล็อกของ Adjust คุณยังอาจสนใจ "วิธีสร้างรายได้จากแอปของคุณ" และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการกระตุ้นการเติบโตด้วยระบบการตลาดอัตโนมัติ

อยากรู้ข้อมูลเชิงลึกของแอปเป็นรายเดือนไหม เป็นสมาชิกจดหมายข่าวของเราได้